The History of GIN

  • admin
  • Blog
  • March 2, 2024

Gin is a distilled alcoholic drink flavored with juniper berries and other botanical ingredients.

Gin originated as a medicinal liquor made by monks and alchemists across Europe. The modern gin was modified in Flanders and the Netherlands to provide aqua vita from distillates of grapes and grains, becoming an object of commerce in the spirits industry. Gin became popular in England after the introduction of jenever, a Dutch and Belgian liquor. Although this development had been taking place since the early 17th century, gin became widespread after the 1688 Glorious Revolution led by William of Orange and subsequent import restrictions on French brandy. Gin emerged as the national alcoholic drink of England during the so-called Gin Craze of 1695–1735.

Gin is produced from a wide range of herbal ingredients in a number of distinct styles and brands. After juniper, gin tends to be flavoured with herbs, spices, floral or fruit flavours, or often a combination. It is commonly mixed with tonic water in a gin and tonic. Gin is also used as a base spirit to produce flavoured, gin-based liqueurs, for example sloe gin, traditionally produced by the addition of fruit, flavourings and sugar.

credits.
https://en.wikipedia.org/wiki/gin

relate post

WHITE RUM สี ความใส และความหนืด

WHITE RUMสี ความใส และความหนืดโดยทั่วไปรัมจะมีสีทองและสีเหลืองอำพันเมื่อบ่มไว้ ผู้กลั่นบางรายใช้น้ำตาลไหม้หรือสีคาราเมลเพื่อเพิ่มหรือปรับสมดุลสีเพื่อให้มีความสม่ำเสมอ เมื่อเวลาผ่านไป น้ำและแอลกอฮอล์บางส่วนจะระเหยออกจากถังบ่ม ของเหลวที่หายไปนี้ถูกเรียกกันมานานแล้วว่า “ส่วนแบ่งของนางฟ้า” ผลิตภัณฑ์ที่เหลืออยู่ในถังบ่มจะมีความเข้มข้นมากขึ้นในด้านรสชาติ สี และความหนืดเมื่อประเมินเหล้ารัมคุณภาพดี ผู้ตัดสินจะตรวจสอบสี = ขั้นตอนนี้ต้องดูในช่วงการหมักบ่ม รัมที่ดีควรจะได้ สีทอง หรือ เหลืองอัมพันความใส = ขั้นตอนนี้ ดูจากการขั้นตอนการกลั่นออกมา ควรจะใสเหมือนน้ำค้าง ในตอนรุ่งสาง และความหนืดของเหล้ารัม = โดยเราสามารถทดสอบความหนืดได้โดยการถือแก้วชิมไว้ใกล้แหล่งกำเนิดแสงแล้วหมุนผลิตภัณฑ์ หยดของเหลวที่เกิดขึ้นบนแก้วซึ่งเรียกว่า “ขา” บ่งบอกถึงลักษณะเฉพาะของเหล้ารัมที่บางหรือหนา สีสันที่เข้มข้นของเหล้ารัม กระบวนการสุดท้ายนี้จะ ทำให้เกิดรัมชั้นดีจากผู้เชี่ยวชาญด้านรัมโดยเฉพาะ ก่อนจะถึงผู้ที่ชื่นชอบรัมในเวลาถัดไป #whiterum#เกร็ดความรู้#bar#bartender#trending#ติดเทรน#ฟีด#fyp

อะไรที่ทำให้ RUM มีเอกลักษณ์ในโลกแห่ง SPIRIT

เราทราบกันดีว่าสก็อตช์ผลิตได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นคือสกอตแลนด์ และเตกีลาผลิตได้เพียงแห่งเดียวเท่านั้น นั่นคือภูมิภาคเตกีลาในเม็กซิโก ส่วนคอนยัคผลิตได้เฉพาะในภูมิภาคคอนยัคในฝรั่งเศสเท่านั้น ส่วนวิสกี้เทนเนสซีผลิตได้เฉพาะใน… คุณเดาถูกแล้ว… เทนเนสซี ในทำนองเดียวกัน สุราส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับภูมิภาคและรูปแบบการผลิตที่แตกต่างกันส่วนเอกลักษณ์ เฉพาะ ของรัม นั้นมีดังนี้ 1. รสชาติที่หลากหลาย รัมมีหลายประเภท แต่ละประเภทมีรสชาติที่แตกต่างกันไป 2. กลิ่นหอม รัมมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ หอมกลิ่นอ้อย คาราเมล วานิลลา ผลไม้ 3. ความลุ่มลึก รัมบ่มนานมีรสชาติซับซ้อน นุ่มนวล 4. เหมาะกับทุกโอกาส รัมสามารถดื่มได้หลายวิธี ดื่มเพียว ผสมค็อกเทล หรือทำอาหาร

Bar Spoon ช้อนบาร์ แบ่งออกเป็นกี่กลุ่มกันน้าา ??

Bar Spoon ช้อนบาร์ แบ่งออกเป็นกี่กลุ่มกันน้า ?? – ใช้สำหรับคนชงผสม หรือใช้ตีทุบน้ำแข็ง หรือใช้ช่วยรินเลเยอร์เหล้าให้เป็นชั้นๆ บางรุ่นใช้บดขยี้ได้ด้วย ช้อนมีความยาวตั้งแต่ 9-20 นิ้ว ควรเลือกความยาวที่หยิบจับได้เหมาะมือ มีน้ำหนักไม่บางจนเกินไป แนะนำความยาว 11-12 นิ้ว ด้ามช้อนถ้ามีเกลียวบิดจะช่วยลดแรงเสียดทาน เพิ่มการไหลเวียนของเครื่องดื่มขณะคนชงหมุน หรือเลเยอร์ได้ดี เรียกว่า Laminar Flow ตัวช้อนบาร์แบบดั้งเดิม จะมีปริมาตร 1 ช้อนชา หรือ 5 มล. หรือ 0.16 ออนซ์ หากกำหนดตามมาตรฐานของ IBA (International Bartender Association) ตัวช้อนบาร์จะมีปริมาตร 1/2 ช้อนชา หรือ 2.50 มล. หรือ 0.32 ออนซ์ ปัจจุบันตัวปลายด้ามช้อนมีหลากหลายรูปแบบมาก แต่ถ้าตามรูปแบบดั้งเดิมจะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ 1.American Bar Spoon […]